วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

รูปวาดพระพุทธเจ้า






































มีแต่รูปสวยๆทั้งนั้นเลย คนวาดเก่งจัง  จินตนาการเป็นเลิศ อิอิ

วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553

พระธรรมทูตคือใคร

        
 พระธรรมทูตคือใคร
        ท่านทั้งหลายซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพระธรรมทูต หน้าที่ของพระธรรมทูตคืออะไร พระธรรมทูตคือใคร ทำหน้าที่อะไร อันนี้สำคัญมาก ถือว่าเป็นหัวของเรื่องก็ว่าได้ คือพระสงฆ์ ถ้าหากว่าจะทำงานเพื่องาน ทำงานให้ได้งาม ทำงานให้ได้ผลงาน จะต้องรู้ว่าตัวเองเป็นใครก่อนแล้วค่อยไปรู้ว่ามีหน้าที่อะไร ทำหน้าที่นั้นอย่างไร ลักษณะการทำงานจะเป็นไปตามขั้นตอนอย่างนี้ ทุก ๆ เรื่องครับ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องพระธรรมทูต ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ต้องรู้ก่อนว่าเราเป็นอะไร ในขณะนี้ท่านทั้งหลายมีหมวกอีกหนึ่งใบก็คือพระธรรมทูต
          เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็สวมหมวกหนึ่งใบแรกคือเป็นพระในพระพุทธศาสนา เป็นสมาชิกของพระพุทธศาสนา เป็นลูกของพระพุทธเจ้า เป็นภิกษุรูปหนึ่งในคณะสงฆ์ไทย เป็นภิกษุรูปหนึ่งในวัด นี้เรียกว่าพอบวชก็เป็นเลย มีมาก ต่อมาอาจจะได้เป็นครูสอนนักธรรม ครูสอนบาลี ก่อนจะมาเป็นครูสอนนักธรรม อาจจะมาเป็นนักเรียนก่อน ต่อมาก็ได้รับการแต่งตั้งและได้รับมอบหมายงานอื่น ๆ อีก ตอนนี้ก็เป็นพระธรรมทูต พระธรรมทูตไม่ต้องแปล โดยทางปฏิบัติพระธรรมทูตก็คือผู้แทนของพระพุทธเจ้า ทูตก็คือผู้แทน ผู้แทนทางธรรมหรือผู้แทนธรรมะ ก็คือผู้แทนของพระพุทธเจ้านั่นเอง ทำหน้าที่แทนพระพุทธเจ้า เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว เสด็จจาริกเที่ยวสั่งสอนชาวบ้านจนกระทั่งมีพระสาวกเกิดขึ้น และส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนาในที่ต่าง ๆ พระสาวกที่ถูกส่งไปประกาศพระศาสนานั้น เราเรียกกันว่า พระธรรมทูต นั่นก็คือพระที่ทำหน้าที่เป็นทูตหรือเป็นผู้แทนของพระพุทธเจ้า
         
หลักในการเผยแผ่ธรรม
          ท่านทั้งหลายในขณะนี้ มีหน้าที่เป็นพระธรรมทูตก็คือเป็นผู้แทนของพระพุทธเจ้า เมื่อเป็นผู้แทนของพระพุทธเจ้า ในฐานพระธรรมทูตมีหน้าที่ในการเผยแผ่ธรรม พระธรรมทูตมีหน้าที่เดียว หน้าที่หลักก็คือการเผยแผ่ธรรม การเผยแผ่ธรรมทำอย่างไร มีหลายวิธี วิธีแรกที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติก็คือการเทศน์ และถือว่าเป็นวิธีหลักที่พระพุทธเจ้าทรงถือปฏิบัติด้วยพระองค์เองมาโดยตลอด ๔๕ ปี พระพุทธเจ้าเทศน์ไม่หยุดเลย ส่วนวิธีอื่น เช่น พูดคุย  ปาฐกถา บรรยาย มีผู้รวบรวมทำวิจันเอาไว้ว่า วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า หรือวิธีการเผยแผ่ของพระพุทธเจ้านั้นมีอยู่ ๗ ประการด้วยกันเท่าที่ท่านค้นคว้าไว้นานแล้วก็คือ
          ๑.อุปนิสินนกถา
          ๒. ธรรมีกถา
          ๓. โอวาทกถา
          ๔. อนุสาสนีกถา
          ๕. ธรรมฉากัจฉากถา
          ๖. ปุจฉาวิสัชชนากถา
          ๗. ธรรมเทศนากถา
          ในเรื่องนี้จะไม่กล่าวถึงรายละเอียด ก็ให้รู้ว่าวิธีเผยแผ่ของพระพุทธเจ้าก็คือการเทศน์  การเทศน์คืออะไร การเทศน์ก็คือการแสดงธรรม การชี้แจง การบอกกล่าว นี่เรียกกันว่าเทศน์ สมัยปัจจุบันนี้ เราก็นำวิธีการเทศน์นั้นมาปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคเข้ากับสมัย การเทศน์นั้นก็ยังคงอยู่ แต่ว่าหนัก (ค่อนข้าง) ไปทางพิธีการ และเป็นพิธีการที่ศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือการเทศน์แบบเดิม ปรับเปลี่ยนมาเป็นปาฐกถา เรียกว่า ปาฐกถาธรรม พูดธรรมะ เปลี่ยนเป็นบรรยายธรรม ก็คือพูดธรรมะ เปลี่ยนเป็นอภิปรายธรรม ก็คือการบรรยายธรรมเหมือนกัน แต่บรรยายหลายคน ปรับเปลี่ยนเป็นการเทศน์ปุจฉา-วิสัชชนา สองธรรมาสน์ สามธรรมาสน์ ปรับเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย
นี้ก็เป็นการทำหน้าที่เหมือนกัน ทีนี้ทำอย่างไรถึงจะได้ผล นี้คือตัวหลัก และนี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่นิมนต์ท่านทั้งหลายมาประชุมกันนี้เพื่อที่จะได้รู้แนวทางในการเผยแผ่ธรรมในฐานะที่เป็นพระธรรมทูต ให้รู้จักแนวทางให้รู้จักวิธีการ ส่วนรายละเอียด เนื้อหาสาระนั้นก็คงจะพูดอะไรกันไม่ได้ ธรรมะนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ท่านทั้งหลายต้องมีทุนเดิมกันอยู่แล้ว  นั่นก็คือต้องมีความรู้ด้านธรรมะ ได้ศึกษานักธรรมบ้าง บาลีบ้าง อ่านหนังสือด้วยตนเองบ้าน สิ่งเหล่านี้เรียกว่าเป็นต้นทุนในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา.

โดยพระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี  สุรเตโช ป.ธ.๙, ราชบัณฑิต)

พระธรรมกถึกคือใคร?



พระธรรมกถึกคือใคร?
 พระธรรมกถึก คือ ผู้ที่จะต้องไปกล่าวธรรม แสดงธรรม เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าในการนำธรรมของพระองค์ไปเผยแพร่แก่ประชาชน พระธรรมกถึกจึงต้องเป็นผู้ชาญฉลาด เข้าใจในหลักธรรมอย่างแจ่มแจ้ง
ลักษณะการแสดงธรรม
 การประกาศธรรม แสดงธรรม มีอยู่ด้วยกันหลายลักษณะ ที่พอจะรวบรวมได้มีอยู่ ๕ ลักษณะ คือ
  ๑. เทศนาธรรม การขึ้นเทศน์  ขึ้นแสดงธรรมบนธรรมาสน์  หรือบนอาสนะอันสมควร
  ๒. ปาฐกถาธรรม
  ๓. อภิปรายธรรม
  ๔. การสนทนาธรรม
  ๕. การบรรยายธรรม หรือการสอนธรรม

เทศนาธรรม
 เทศนาธรรม คือ การเทศน์ มีอยู่ ๓ ลักษณะ คือ
  ๑. เทศนาธรรมาสน์เดียว
  ๒. เทศนา ๒ ธรรมาสน์
  ๓. เทศนา ๓ ธรรมาสน์
 เทศนาธรรมาสน์เดียว  คือ การเทศน์องค์เดียว สะดวกแก่การเตรียมตัว เพราะพระธรรมกถึกสามารถจัดโครงเรื่อง กำหนดหัวข้อ กำหนดเรื่องไปเองได้ แล้วแต่งานแล้วแต่กลุ่มผู้ฟัง
 เทศนา ๒ ธรรมาสน์  คือ การเทศน์ในลักษณะปุจฉา (ถาม) วิสัชนา (ตอบ) ต้องอาศัยปฏิภาณมาก
  - เทศน์ในงานมงคล เช่น ฉลองศาลาการเปรียญ  ฉลองตำแหน่ง คล้ายวันเกิดบวชนาค
  - เทศน์งานอวมงคล เช่น เทศน์แจงทำบุญอุทิศส่วนกุศล
  - ต้องมีการเตรียมตัวมาก เพราะบางครั้ง พระธรรมกถึกที่มาเทศน์ร่วมด้วยนั้น ไม่คุ้นเคยกันมาก่อน จึงเป็นการยากแก่การกำนหดแนวทางการถามตอบ
 เทศน์ ๓ ธรรมาสน์  โดยมากจะเป็นการเทศน์แจง ต้องมีการเตรียมตัวมาก ต้องมีการซักซ้อมมอบหมายงานกันก่อนว่า ใครรับหน้าที่ทำอะไร แต่ที่นิยมปฏิบัติกันมาตั้งแต่โบราณกาล ก็คือ
 พระธรรมกถึกผู้มีอาวุโสสูงสุด รับตำแหน่ง “พระมหากัสสป” มีหน้าที่ในการสอบถามไต่ถามข้อความตามปิฎกทั้ง ๓
 พระธรรมกถึกผู้มีอาวุโสถัดมา รับตำแหน่ง “พระอุบาลี” มีหน้าที่ในการวิสัชนาในเรื่องที่เกี่ยวกับพระวินัย
 พระธรรมกถึกผู้มีอาวุโสน้อยสุด  รับตำแหน่ง “พระอานนท์” มีหน้าที่ในการวิสัชชนาในเรื่องที่เกี่ยวกับพระสูตร และพระอภิธรรม

 ตำแหน่งในการเทศนา ๓ ธรรมาสน์
 - ผู้มีอาวุโสสูงสุด (พระมหากัสสป) ให้ศีล
 - ผู้มีอาวุโสถัดมา (พระอุบาลี) บอกศักราช
 - ผู้มีอาวุโสน้อยสุด (พระอานนท์) บอกอานิสงส์ ดำเนินการเทศน์ และเป็นองค์สมมติมอบหมายตำแหน่งหน้าที่

ข้อปฏิบัติก่อนการขึ้นแสดงธรรมบนธรรมาสน์
 - เทศน์ที่บ้าน ไม่ต้องกราบพระพุทธรูป
 - เทศน์ที่วัด ต้องกราบพระพุทธรูปก่อนขึ้นธรรมาสน์
 - ถ้าเจ้าภาพต้องการกรวดน้ำ ต้อง ยถา......สพฺพี......ด้วย

เทศนาของพระพุทธเจ้ามีลักษณะ ๓
 ๑. อาณาเทศนา  ลักษณะการเทศน์เป็นการวางระเบียบแบบแผนประเพณี ในเรื่องที่เกี่ยวกับพระวินัย เหมือนกันการตรากฎหมายธรรมนูญ
 ๒. โวหารเทศนา  เทศนาไปตามโวหาร เพื่ออนุโลมไปตามอัธยาศัยของผู้ฟัง
 ๓. ปรมัตถเทศนา การเทศนาถึงเรื่องที่เป็นสภาวธรรมอันเป็นปรมัตถ์ล้วนๆ พูดถึงสภาวธรรม หัวข้อธรรมที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก

ปาฐกถาธรรม
 ส่วนมากนั้น มีลักษณะเป็นการยืนพูด ปาฐกถา ไม่มีพีรีตรองมากเหมือนการเทศน์ จะปาฐกถากี่คนก็ได้ ลักษณะการปาฐกถาต้องดูงาน ดูจุดประสงค์ของผู้นิมนตษว่าจะให้ปาฐกถาปรารภอะไร  แต่ส่วนมากจะเป็นปาฐกถาหน้าศพ  ก่อนกำการฌาปนกิจ

การปาฐกถาหน้าศพ
 - ต้องพูดเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิต
 - ใช้เวลาในการปาฐกถาประมาณ ๑๕  - ๒๐ นาที

อภิปรายธรรม
 มักทำกันเป็นหมู่คณะ  ตั้งแต่ ๒ คน ขึ้นไป ไม่ต้องมีพิธีรีตองมากมายเหมือนกับการเทศน์  เพียงแต่ผู้เป็นพระธานในการดำเนินการอภิปราย กล่าวแนะนำผู้ร่วมอภิรายก่อนเท่านั้น

สิ่งควรระวังในการอภิปราย
 - อย่าให้เกิดความแตกแยกกับผู้ร่วมอภิปราย โดยเฉพาะในการอภิปรายร่วมกับคนต่างลัทธิ ต่างศาสนา ต้องหลีกเลี่ยงในการแสดงความคิดเห็น
 - อภิปรายในลักษระที่เป็นกลาง ๆ ไม่เข้าข้างใด
 - ต้องรู้จักรับช่วง

สนทนาธรรม
 การสนทนาธรรม ไม่มีพิธียุ่งยากเหมือนการเทศน์  การสนทนาธรรมนั้น มีทั้งคุณ มีทั้งโทษ ลักษณะของการสนทนาที่จะไม่ให้เกิดโทษก็คือ “การพูดต้องมีที่มา มีที่ไป มีหลักฐานอ้างอิงได้ ไม่กล่าวลอยๆ”

บรรยายธรรม
 เป็นการสอนธรรมชนิดหนึ่ง บรรยายตามหัวข้อที่เขากำหนดให้  ไม่มีพีเช่นกัน การสอนพระปริยัติธรรม ก็เป็นการบรรยายธรรมชนิดหนึ่ง

กลุ่มเป้าหมาย
 พระธรรมกถึก มีผู้ฟังซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายใหญ่ ๆ ๔ กลุ่ม คือ
  ๑. กลุ่มข้าราชการ
  ๒. กลุ่มผู้ต้องขังในเรือนจำ
  ๓. กลุ่มเยาวชน นิสิต นักศึกษา
  ๔. กลุ่มประชาชนทั่ว ๆ ไป
 กลุ่มข้าราชการ มีทั้งข้าราชการที่เป็นพลเรือน ทหาร ตำรวจ เพราะกลุ่มคนที่เป็นข้าราชการ เป็นกลุ่มคนที่เข้าไปพบได้ง่าย
หลักธรรมสำหรับข้าราชการ
 หลักธรรมที่ข้าราชการควรใช้เป็นแบบในการปฏิบัติ ก็คือ “ยโสภิวัฑฒนกถา” คือ ธรรมเป็นเครื่องเจริญยศ  มีอยู่ ๗ ประการ คือ
 ๑. อุฏฐานะ  ความขยันหมั่นเพียร
 ๒. สติ  ความระลึกได้ ความไม่หลงลืมสติ
 ๓. สุจิกัมมะ  การงานสะอาด
 ๔. นิสัมมการะ  ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงลงมือทำ
 ๕. สัญญมะ  ความสำรวมระวัง
 ๖.  ธัมมชีวะ  ความเป็นอยู่โดยธรรม
 ๗.  อัปปมาทะ  ความไม่ประมาท
 สิ่งที่ควรระวังในการพูดกับข้าราชการก็คือ ไม่ควรพูดถึงการทุจริตคอร์รับชั่นพยายามหลีกเลี่ยง

กลุ่มผู้ต้องขังในเรือนจำ
 เป็นกลุ่มคนที่สะดวกในการพบเช่นเดียวกัน ลักษณะการพูดไม่ควรพูดถึงเรื่องของอดีต โดยเฉพาะเรื่องที่ผู้ต้องโทษกระทำความผิดมาก่อน

หลักธรรมสำหรับผู้ต้องขัง
 - ควรเน้นในเรื่องความดี การทำความดี
 - ควรเน้นในเรื่องกรรม และผลของกรรม

กลุ่มเยาวชน นิสิต นักศึกษา
 เป็นกลุ่มคนที่พบง่าย ชักจูงง่าย และเป็นกลุ่มคนที่มีคุณค่าสำหรับประเทศชาติ

หลักธรรมสำหรับเยาวชน
 - ควรเน้นในเรื่องความขยัน ความอดทน
 - ควรเน้นในเรื่องโทษของสิ่งเสพติด โทษของการคบเพื่อนชั่ว
 - ควรเน้นเรื่องความกตัญญู รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณ
 - ควรเล่านิทานอิงธรรมะประกอบ

กลุ่มประชาชนทั่วๆไป
 หลักธรรมที่พระธรรมทูตจะใช้สอนคนกลุ่มนี้ ควรเน้นในเรื่องฆราวาสธรรม ธรรมสำหรับผู้อยู่ครองเรือน นอกจากนี้แล้ว ก็ควรจะเน้นธรรมอันเหมาะสมกับความแปรปรวนผันผวนไปตามสภาพของบ้านเมืองในปัจจุบัน และการประกอบอาชีพของประชาชนกลุ่มนั้นๆ ด้วย

ข้อที่พระธรรมกถึกควรระวังในการเทศนา
 - ต้องแสดงไปตามลำดับ
 - อย่าตัดทอน หรือข้ามลำดับจนเสียความ
 - อย่าแสดงธรรมในลักษณะยกตนข่มท่าน
 - อย่าแสดงธรรมเสียดสีผู้อื่นให้ได้รับความเสียหาย

บทสรุปวิชาธรรมกถึก
 การแสดงธรรมทั้ง ๕ ลักษณะ จะมีประโยชน์มากน้อยแค่ไหน เพียงไร ต้องขึ้นอยู่กับ “โลกทัศน์” ของพระธรรมกถึกด้วยว่า พระธรรมกถึกองค์นั้นๆ มีโลกทัศน์กว้างขวางแค่ไหน พระธรรมกถึกนั้นต้องเป็นผู้มีโลกทัศน์กว้าง มีความรู้รอบตัวมากกว่าในตำรา จึงจะเป็นผู้ที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์.

คุณสมบัตินักเผยแผ่
 ๑. อนูปวาโท   ไม่มุ่งกล่าวให้ร้ายใคร
 ๒. อนูปฆาโต   ไม่มุ่งทำร้ายใคร
 ๓. ปาฏิโมกฺเข จ สํวโร  สำรวมในพระปาฏิโมกข์ (รักษาระเบียบ)
 ๔. มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ  รู้จักประมาณในภัตตาหาร (ไม่เห็นแก่กิน กินพอประมาณ)
 ๕. ปนฺตญฺจ สยนาสนํ  นอนนั่งอย่างสงบสงัด (มีอิริยาบถสงบเสงี่ยม เรียบร้อย)
 ๖. อธิจิตฺเต จ อาโยโค  พากเพียรในอธิจิต  (พยายามทำใจให้เป็นสมาธิ คือ มีใจสงบ
     มั่นคง ไม่หวั่นไหว)
 เอตํ  พุทฺธานสาสนํ   ๖ ข้อนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

             

            โดย
พระเทพกิตติปัญญาคุณ
(กิตฺติวุฑฺโฒ  ภิกฺขุ)
      พ.ศ.๒๕๔๔
        ***********